Election

ทำความรู้จัก เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

ทำความรู้จัก เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

เศรษฐา ทวีสิน คือนักธุรกิจในอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ผู้ผันตัวมาลงสนามการเมือง มีความสนิทสนมกับครอบครัวของทักษิณ ชินวัตรเป็นอย่างดี เศรษฐา ทวีสิน เกิดในปี 2506 อายุรวม 60 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะวิศวะกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก the Claremont Graduate School จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในฐานะนักธุรกิจด้วยตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการของ multinational Procter & Gamble ประจำประเทศไทย ก่อนจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแสนสิริ บริษัทของครอบครัวในเวลาต่อมา ก่อนจะลาออกจากตำแหน่งในเมษายนที่ผ่านมาเพื่อลงสนามการเลือกตั้งครั้งนี้เต็มตัว

โดยมูลค่าของแสนสิริในตลาดหุ้นขณะนี้มีมูลค่ากว่า 880 ล้านบาท โดยในสนามเลือกตั้ง เศรษฐา ทวีสินมุ่งเน้นนโยบายด้านเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมทางสังคม และหลักธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ เศรษฐากล่าวว่าสิ่งแรกที่จะผลักดันใน 100 วัน คือการผลักดันรัฐบาลให้ดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชน ยกเลิกบังคับการเกณฑ์ทหาร ผลักดันพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สะท้อนเจตนารมย์ของเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง เศรษฐายังได้มุ่งเน้นไปที่นโยบายอย่างการโอนเงินดิจิตัลวอลเล็ต 10,000 บาทให้กับประชาชนที่อายุมากกว่า 16 ปีได้ใช้จ่ายในชุมชนของพวกเขาอีกด้วย

มิติรัฐบาลผสมของเพื่อไทย ในมือ เศรษฐา ทวีสิน

เมื่อเพื่อไทยก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เป็นที่แน่นอนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญย่อมเป็นความมุ่งหมายอันดับแรกของเพื่อไทย แต่ด้วยการจับมือกับสองพรรคที่มีทหารเป็นแกนนำ ปฏิเสธไมได้ว่าย่อมเป็นการพึ่งพาฝ่ายอนุรักษ์นิยมในการจัดตั้งรัฐบาลผสมครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จังหวะที่ก้าวไกลเอาชนะการเลือกตั้งและครองที่นั่งส่วนใหญ่ในรัฐสภา พรรคเพื่อไทยเองได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคขนาดเล็กจำนวนหนึ่งเช่นกัน ในจังหวะนั้น ประชาชนจำนวนมากคาดหวังถึงการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ต่างไปจากขณะนี้ แต่ด้วยท่วงทำนองที่มีภาพรวมแตกต่างไปจากฉบับของเพื่อไทย ด้วยภาพของนโยบายที่ก้าวหน้าของตัวพรรคก้าวไกลนั่นเอง

เกิดอะไรขึ้นกับก้าวไกล ? ผู้ชนะการเลือกตั้งที่ถูกผลักไว้อยู่ข้างสนาม

ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลจะสามารถกุมคะแนนเสียงในมือไว้ได้กว่า 36.23 % คว้าที่นั่งในสภาไปได้มากกว่า 151 ที่นั่ง แต่ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างขึ้นมาภายใต้รัฐบาลทหารที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการโหวตของส.ส.และส.ว.ที่มาจากการคัดเลือกของรัฐบาลทหารให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง แกนนำพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับคะแนนโหวตจากสภาทั้งสองฝั่งไป 351 คะแนน แต่ยังคงต้องการคะแนนอีก 51 คะแนน ถึงจะได้ 375 เสีงเกินกึ่งหนึ่งของสภา โดยในครั้งนั้น  มีผู้งดออกเสียง 199 เสียง และได้เสียงสนับสนุนจากส.ว.ไปเพียง 13 เสียงเท่านั้น

การที่พรรคก้าวไกลไม่ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมในครั้งนี้แน่นอนว่าเป็นเพราะประเด็นทางการเมืองของพรรคก้าวไกลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในประเด็นของการแก้ไขมาตรา 112 ส.ว. ส่วนใหญ่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่โหวตให้พรรคการเมืองที่จะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้รับการปกป้องอย่างเด็ดขาด

การกลับบ้านในรอบ 15 ปีของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร นี่คือสัญญาณของอะไร ? การกลับบ้านครั้งนี้จะพาไปสู่การติดคุกถึง 8 ปีหรือไม่ ?

ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยสูญเสียพื้นที่ในภาคเหนือและภาคอีสานไปอย่างมีนัยสำคัญ การกลับมาของทักษิณ ชินวัตรอาจเป็นจังหวะที่จะปฏิรูปพรรคเพื่อไทย และตัวของทักษิณเองอาจทำหน้าที่เป็นเสมือนจุดร่วมของการจัดตั้งรับบาลผสมครั้งนี้อีกด้วย นี่จะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อพันธมิตรจำนวนหนึ่งของทักษิณได้รวมตัวกันอยู่กับพรรคที่มีแกนนำเป็นทหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รัฐบาลใหม่ กับก้าวต่อไปของประเทศ เราคาดหวังอะไรในความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

ดร.พิมพ์รภัทรกล่าวกับเราว่า เธอคาดการณ์ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีอายุขัยสั้นกว่าที่เราคาด หรือเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราวเท่านั้น เพราะการเป็นรัฐบาลผสมท่ามกลางผลประโยชน์และเป้าประสงค์ที่มีความแตกต่างสูงอย่างชัดเจน รัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เราจะยังคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายเพราะแต่ละพรรคการเมืองต่างเห็นภาพตรงกันว่าพวกเขามารวมตัวกันเพียงชั่วคราวเท่านั้น