เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 6 รับมือด้านมืดยุคดิจิทัลด้วยจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์
ภาคประชาสังคม ย้ำจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์คือหัวใจของการเท่าทันสื่อและรับมือด้านมืดโลกออนไลน์ รับฟังคนเห็นต่างโดยไม่ด่วนตัดสิน สื่อมีบทบาททำความจริงให้ปรากฎลดความขัดแย้งในสังคม
วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2562) มูลนิธิฟรีดริช เนามัน องค์กร Centre for Humanitarian Dialogue (hd) สถาบัน Change Fusion ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานเสวนา Digital Thinker Forum#6 เรื่อง “รับมือด้านมืดยุคดิจิทัลด้วยจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์”
ดร.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส กล่าวเปิดงานว่า โลกยุคดิจิทัลส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้คน เวทีเสวนาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ระดมความคิดของนักคิดจากหลากหลายศาสนาว่าจะจัดการกับปัญหาและผลกระทบเรื่องนี้ได้อย่างไรและได้มองลึกเข้าไปด้านในของตัวเอง
เฟรเดอริค ชปอร์ หัวหน้าสำนักงานประเทศไทยและเมียนมา ฟรีดริช เนามัน เล่ากรณีศึกษาด้านมืดของโลกออนไลน์และบทบาทของสื่อกระแสหลักที่จะมีส่วนช่วยคลี่คลายความจริง ตัวอย่างจากงานฉลองและกิจกรรมประจำปีในช่วงคริสต์มาสในเมือง Nuremberg ของเยอรมนี จะมีการคัดเลือกตัวแทนเด็ก ๆ ที่เรียกว่า Christ Child เมื่อภาพเด็กสาวอายุ 17 ปีที่ได้รับเลือกเผยแพร่ออนไลน์ ปรากฏว่าเธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกอินเตอร์เน็ตรวมทั้งนักการ เมืองฝ่ายขวาจากพรรค AFD ที่ตัดสินจากภาพที่เห็นคือ ผมหยิก ผิวคล้ำ บางส่วนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นมุสลิมหรือมีเชื้อสายอินเดียน จนเกิดกระแสความเกลียดชังไปทั่ว แต่เมื่อสื่อมวลชนแห่งหนึ่งได้ค้นข้อมูลประวัติของเด็กสาวคนนี้แล้วเปิดเผยว่า เธอเป็นคนเยอรมัน เป็นคาธอลิก ที่รับใช้ศาสนาอย่างแข็งขัน ทำให้เปลี่ยนกระแสความเกลียดชังเป็นการชื่นชมเด็กสาวในอินเตอร์เน็ตแทน นักการเมืองที่เคยตำหนิก็ออกมาโพสต์ขอโทษในภายหลัง
“เราเรียนรู้จากกรณีนี้ว่า นักข่าวนั้นต้องทำหน้าที่สืบค้นข้อมูลข้อเท็จจริงรายงานให้สาธารณะรับรู้ และสื่อกระแสหลักก็มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดการให้ข้อมูลผ่านพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อความหลากหลาย ในขณะที่พลเมืองต้องฝึกที่จะรับข่าวสารหลายทาง เพื่อให้เข้าใจและเฝ้าระวังปัญหา กรณีนี้หากโพสต์ที่วิจารณ์ถูกลบไปตั้งแต่แรก ก็จะไม่เกิดบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนข้อมูลจนกระทั่งมีคนเปิดเผยข้อเท็จจริง อินเตอร์เน็ตมักจะถูกกล่าวโทษบ่อยครั้ง แต่ที่จริงแล้ว ต้นเหตุของความคิดที่เหมาะสมนั้นมาจากคน ดังนั้นสิ่งที่ต้องชวนคิดคือ อะไรควรลบหรือไม่ควรลบ เพราะคนโพสต์ก็มีสิทธิที่จะโพสต์ การลบความเห็นต่างออกจากอินเตอร์เน็ตจึงอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป”
ในการเสวนาเรื่อง “มุมมองทางศาสนากับพลวัติยุคดิจิทัล” ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นจาก 3 ศาสนาเห็นสอดคล้องกันว่า หลักการของทุกศาสนาล้วนให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์และเชื่อว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้แน่นอน
พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า พุทธศาสนา มีหลักคำสอนที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อเท่าทันและรับมือกับยุคดิจิทัลได้หลายประการ ได้แก่ การมีสติและไตร่ตรองโดยใช้ปัญญาอย่างรอบด้านอีกทั้งยังมีหลักกาลามสูตร ที่สอนให้คนต้องไม่ด่วนเชื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ตรวจสอบ
“หนึ่งในกาลามสูตรก็บอกไว้ว่า อย่าเชื่อแม้จะเป็นคำสอนของครูอาจารย์ คือให้คิดใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน หลักทางศาสนาต่าง ๆ นั้นช่วยได้ เริ่มจากปัจเจกคือตัวเราแต่ละบุคคลทำอะไรได้ก่อนก็ทำตามกำลัง ช่วยกันเปิดเผยด้านสว่างให้สังคมรับรู้ แต่ด้านโครงสร้างก็ต้องร่วมมือกันใช้สื่อดิจิทัลซึ่งตอนนี้ยังใช้งานไม่เต็มศักยภาพ เอาเทคโนโลยีเป็นสะพานช่วยเชื่อมคนที่ตั้งใจดีไปช่วยเหลือคนเดือดร้อน”
ซิสเตอร์ยุพดี จารุวิภาค อธิการิณี โรงเรียนเซนต์เมรี่ จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ทุกยุคสมัยล้วนแล้วแต่มีสิ่งดีและไม่ดีปะปนกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากอินเตอร์เน็ตแต่เกิดจากตัวของมนุษย์ตัวเรานั่นเอง สำคัญที่สุดอยู่ที่แต่ละบุคคลที่จะกำหนดและเลือกรับด้านดีงามมาเป็นประโยชน์แก่ตนเองและเมตตาเกื้อกูลผู้อื่น
“ ตอนนี้คนกำลังหลงลืมเรื่องจิตวิญญาณเพราะเน้นแต่การพัฒนาเทคโนโลยีและผลตอบแทนทางธุรกิจ มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เพราะมีหัวใจ รัก ให้อภัย เข้าใจได้ มีความทรงจำ มีจิตวิญญาณ กฎทองของพระผู้เป็นเจ้าคือความรัก ทรงสอนให้จงรักมนุษย์คนอื่นเหมือนรักตัวเอง หากเรายึดหลักของศาสนาอย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็จะทำให้เรารับมือกับด้านมืดของโลกออนไลน์ได้”
ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี หัวหน้าสาขาวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยพายัพ เห็นว่า ศาสนาคือรากฐานของชีวิตและสังคม ทำอย่างไรให้ศาสนาได้รับใช้และตอบรับความยั่งยืนของมนุษย์ อิสลามเชื่อว่าตั้งแต่แรกเกิดคนเราก็มีความเป็นมนุษย์ที่ความบริสุทธิ์อยู่เดิมแล้ว แต่โลกยุคดิจิทัลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณธรรมในใจ (ethical infrastructure)
“เราเห็นด้านมืดของโลกดิจิทัลมากมายแต่ผมยังเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ ยังมีความหวังในการสร้างสันติภาพ มุสลิมทุกคน ชีวิตจะยึดโยงกับหลักการของศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า หากความเกลียดสร้างได้ ความรักก็สร้างได้เช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่าศาสนามีพลังในการสร้างสันติภาพ หากเรามองคนอื่นด้วยการให้เกียรติและเห็นความเป็นมนุษย์ระหว่างกัน อิสลามสอนให้เราชัดเจนและรู้จักตัวเองว่าเกิดมาเพื่ออะไร สำหรับผมคือการเคารพและภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ผ่านการให้เกียรติ รับใช้ผู้อื่น ทุกคนได้รับเกียรติเพราะเหมือนภาพตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกมนุษย์ ”
ดร.สุชาติ ยังตั้งข้อสังเกตต่อกรณีศึกษาที่คุณเฟรเดอริกยกตัวอย่างว่า หากเด็กที่ได้รับเลือกเป็น Christ Child คนดังกล่าว ไม่ใช่คนเยอรมนีหรือไม่ได้เป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนาแล้วเธอจะได้รับการตอบรับอย่างไร
หลังจากนั้น มีเวทีเสวนาต่อเนื่องในหัวข้อ “รับมือด้านมืดออนไลน์อย่างไรด้วยจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์” ประชา หุตานุวัตร ประธานนิเวศสิกขาเอเชียและผู้อำนวยการแผนงานผู้นำพุทธกระบวนทัศน์ของ เสมสิขาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ในบริบทและโครงสร้างสังคมที่กำลังทำลายความเป็นมนุษย์ ลดทอนความรักและเสริมสร้างความเกลียดชังเพราะเน้นความเจริญทางวัตถุ การแย่งชิงเป็นที่หนึ่ง ส่งเสริมให้คนโลภมากขึ้นเรื่อย ๆ ระบบแข่งขันทำให้มีคนแพ้และชนะ คนแพ้รู้สึกตัวเองแย่และไร้คุณค่า ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องมองที่ต้นเหตุด้วย เพราะด้านมืดโลกออนไลน์ไม่ได้มีแค่ข่าวสารปลอมหรือข่าวบิดเบือน โลกดิจิทัลกำลังเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ ศาสนาเป็นปัจจัยรองของสังคมสมัยใหม่ และถูกเบียดออกไปเรื่อย ๆ เมื่อคนอยู่ในสังคมที่ไม่มีศาสนาธรรม คนก็ต้องการหนีจากโลกที่ตัวเองเผชิญอยู่ เมื่อไม่ต้องการกระทั่งสื่อสารกับตัวเอง โลกออนไลน์จึงเป็นทางออก เหยื่อออนไลน์ก็คือคนที่แพ้ในการสื่อสารกับตัวเอง
“เมื่อโลกเปลี่ยนแปลง เกิดสิ่งใหม่ก็ต้องมีระบบและเครื่องมือเพื่อทำให้เราอยู่กับสิ่งใหม่นั้นได้ ทางออกที่เน้นความเป็นมนุษย์ต้องเป็นคนละแบบกับการสร้างเทคโนโลยี ซึ่งความรู้ด้านนี้ชั่งตวงวัดไม่ได้ แต่โยงกับการขัดเกลา ฝึกฝนจิตใจตัวเอง นอกจากใช้สติแล้วยังต้องมีความสังวรณ์ สำรวมและรู้จักเลือกอย่างมี “วิจารณญาณ”ด้วย โดยไม่ปัดหรือตัดความเห็นต่างทิ้งไป โลกอินเตอร์เน็ตนั้นสามารถใช้เป็นพลังเชิงบวกได้ สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างชุดความคิดและหาต้นแบบใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่โลกที่สันติอย่างแท้จริง”
ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา กล่าวว่าตัวอย่างของเวทีในวันนี้เป็นเรื่องดีที่ได้สร้างพื้นที่การแลกเปลี่ยนของคนต่างศาสนา แต่ต้องไม่ลืมว่าบนโลกอินเตอร์เน็ต มีคนจำนวนมหาศาลที่ไม่ได้นับถือหรือเชื่อศาสนาใด คนกลุ่มนี้ก็ไม่ควรละเลยและต้องเลือกวิธีการสื่อสารทำความเข้าใจโดยใช้เครื่องมือหรือสื่อที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หากต้องการคุยเรื่องความเป็นมนุษย์ก็ต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและเลือกใช้การสื่อสารเนื้อหาเดียวกัน
“พื้นฐานมนุษย์ ต้องการคนรับฟังและมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ จะเข้าถึงหัวใจของความเป็นมนุษย์ก็ต้องทำให้เขาได้มีประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง ได้ฝึกฝนทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล ฝึกการฟัง การรับรู้เรื่องราวของคนอื่น คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีความทุกข์ แต่เมื่อได้ไปทำงานให้คนอื่น ได้เสียสละ ได้แบ่งปัน ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับคนอื่นกับโลกข้างนอก ก็พบว่ามีความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เท่ากับได้เชื่อมโยงจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ระหว่างกัน”
ดร.ฟารีดา เจะเอาะ อาจารย์ประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ สำนักวิชาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เห็นว่า โลกออนไลน์และเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ทำให้คนพูดกันน้อยลง อินเตอร์เน็ตจึงกลายเป็นจำเลย แต่โจทย์คือ ทำอย่างไรให้แรงปะทะจากโลกดิจิทัลเป็นความท้าทาย
“การตรวจสอบข้อมูลมีความจำเป็นมาก เราไม่ต้องรีบร้อนและเร็วทุกเรื่องก็ได้ โลกยุคใหม่ในดิจิทัลทำให้คนรุ่นใหม่มีพื้นที่สื่อสารกันได้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ ออนไลน์เป็นพื้นที่สร้างตัวตนใหม่ของคน ตามที่อยากเป็น แต่เมื่อออกมาแล้วกลับหลงลืมว่าตัวตนจริงคืออะไร คือใคร อีกเรื่องคือการขาดพื้นที่ทำให้คนต่างวัย ต่างความคิดได้มาหาทางออกร่วมกัน สิ่งนี้ต้องการการพูดคุยเพิ่มขึ้น สื่อไม่ได้เพียงนำเสนอหรือสะท้อนความจริง แต่ความจริงก็มหลายชุด หลายมิติ ซึ่งต้องทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ด้วย ต้องแสวงหาความรู้มาก่อนและเปิดใจกับสิ่งนั้น”
วศิน ปั้นทอง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าเมื่อพูดเรื่องยุคสมัย ก็มีความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายหลายประการ ทั้งความเร็วและขนาดปริมาณของข่าวสารในโลกไซเบอร์ จำนวนมหาศาลทำให้เราเลือกสกัดสาระออกมาใช้ได้ยาก โลกไซเบอร์เอื้อให้เราใช้ความรุนแรงทางอารมณ์มากขึ้น พบตัวอย่างว่า เนื้อหาที่ได้รับยอดไลค์เยอะมักจะอยู่ในขั้วสุดโต่งของอารมณ์ทั้งด้านลบและบวก หากมองบริบทการเมืองคือทำให้การเมืองแยกเป็นเสี่ยงๆบนฐานของอารมณ์ ทำให้เปราะบางและอันตรายมาก และยังมีประเด็นด้านความมั่นคง หลายครั้งเรื่องออนไลน์และเรื่องที่อ่อนไหวถูกโยงไปเป็นประเด็นความมั่นคง ทำให้เป็นปัญหา กลายเป็นการละเมิด ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในที่สุด
วศิน เสนอการออกแบบสะพานเชื่อมคนในสังคมเข้าด้วยกัน ด้วยวิธีดังนี้
1.ออกแบบความคิด อดทน อดกลั้น ต่อความเห็นต่างจากผู้อื่น โดยไม่ลืมว่าอีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา
ซึ่งต้องฝึกฝนจากประสบการณ์จริง และฝึกให้เขามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาทำ
2. ออกแบบสถาบันที่จะมีส่วนช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากด้านมืดของโลกออนไลน์ ตัวอย่างจากต่างประเทศเช่นในออสเตรเลีย มีหน่วยงานเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโลกไซเบอร์ หรือในสหราชาอาณาจักร มี help line ป้องกันคนถูกรังแกทางโลกออนไลน์ เป็นต้น
“ นอกจากการเรียนการสอนในโรงเรียนแล้ว ยังต้องเพิ่มการเรียนรู้ร่วมกัน และทำให้เกิด Humanize digitalization เอาเทคโนโลยีมาอยู่ในชีวิตมนุษย์ มาสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ไม่ใช่เอามนุษย์ไปอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยี และต้องทำให้ internet of things กลายเป็น internet of life เอาเทคโนโลยีมาทำให้คนเห็นคุณค่ามนุษย์มากขึ้น ทำให้คนมีการรู้จักคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลให้ออก ทำให้คนมีทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงได้ยิน แต่ต้องอดทนฟังความเห็นต่างด้วย ทำให้คนมีทักษะการมองสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบด้านและเปิดใจ”
รับชมลิงค์การถ่ายทอดย้อนหลังที่
พิธีเปิด และปาถกฐาพิเศษ โดย นายแพทย์ไพโรจน์ เสาน่วม และคุณเฟรเดอริค ชปอร์
https://www.facebook.com/digitalthinkersforum/videos/586495362113509/?epa=SEARCH_BOX
เสวนานักคิดดิจิทัล ช่วงที่ 1 มุมมองทางศาสนากับพลวัตยุคดิจิทัล
https://www.facebook.com/digitalthinkersforum/videos/423528501881262/?epa=SEARCH_BOX
เสวนานักคิดดิจิทัล ช่วงที่ 2 รับมือด้านมืดยุคดิจิทัลด้วยจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์
https://www.facebook.com/digitalthinkersforum/videos/2656029267810371/?epa=SEARCH_BOX